การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญ
บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “AMR”) จัดตั้งเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2542 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 1.0 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจ ด้านวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอทีโซลูชั่น (System Integrator: SI) รวมถึงให้บริการงานดูแลรักษาและซ่อมบำรุงระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ แบบครบวงจร ถือหุ้นโดยกลุ่มวิศวกรที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมากกว่า 20 ปี
ภายใต้วิสัยทัศน์ของทีมผู้บริหาร นำโดยนายมารุต ศิริโก ตำแหน่งกรรมการและกรรมการผู้จัดการ ที่เชื่อว่าเทคโนโลยีที่ถือกำเนิดขึ้นคือสิ่งที่จะกำหนดชีวิต ในอนาคต ส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการเปลี่ยนผ่านโมเดลธุรกิจการบริหารจัดการข้อมูล หรือรูปแบบการให้บริการเข้าสู่ยุคดิจิตอล ซึ่งโครงการแรกของบริษัทฯ คือการวางระบบคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์คให้กับมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ซึ่งนับเป็นก้าวแรกสู่โครงการอื่นๆ ต่อมา อาทิ การวางระบบค้นหาข้อมูลและการเชื่อมโยงกฎหมายไทยให้กับสำนักงานกฤษฎีกา การติดตั้งและบริการมิเตอร์ไฟฟ้าอัตโนมัติแบบ TOU (Time of Use Rate) ให้กับการไฟฟ้านครหลวง งานระบบตรวจวัดระดับน้ำและ อุปกรณ์สำหรับบริหารจัดการน้ำให้กับกรมชลประทาน ซึ่งเป็นระบบการบริหารจัดการน้ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวมถึงระบบบริหารจัดการฟรีแท็กโซน แอร์คาร์โก สนามบินสุวรรณภูมิ

ในปี 2548 บริษัทฯ เห็นโอกาสทางธุรกิจด้านการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีระบบคมนาคมขนส่งรองรับการขยายตัวทางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงได้เริ่มมีการขยายฐานรายได้ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมวิศวกรรมระบบราง (Railway Engineering System) โดยในช่วงแรกบริษัทฯ เป็น SI ให้กับผู้ผลิตเทคโนโลยีระบบรางและอากาศยานระดับโลกรายหนึ่ง ในการนำโซลูชั่นระบบปฏิบัติการเดินรถและระบบอาณัติสัญญาณ ของผู้ผลิตมาใช้งานร่วมกับระบบรถไฟในประเทศไทยทั้งรถไฟดีเซลและระบบรถไฟฟ้า ในโครงการติดตั้งระบบโครงข่ายสื่อสารหลัก (Backbone Network) สำหรับโครงการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และต่อมาในปี 2549 บริษัทฯ ได้ติดตั้งโครงข่ายระบบสื่อสารและระบบไฟฟ้าสำหรับโครงการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณให้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว จำนวนรวม 27 สถานี และเปลี่ยนชุดระบบอาณัติสัญญาณในรถไฟฟ้า 24 ขบวน


ในปี 2558 บริษัทฯ ลงนามในสัญญาจ้างงานออกแบบ จัดหา และติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (Electrical and Mechanical System: E&M) ระบบเดินรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายสายใต้ สถานีแบริ่ง-สถานีเคหะฯ จำนวนรวม 9 สถานี และสายเหนือ สถานีหมอชิต-สถานีคูคต จำนวนรวม 16 สถานี และระบบศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot Facilities) จำนวน 2 แห่ง ดำเนินงานภายใต้กิจการร่วมค้า
ในปี 2559 ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาจ้างงานออกแบบ จัดหา และติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) แบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey Project) ให้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีกรุงธนบุรี - สถานีคลองสาน ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่บริษัทสัญชาติไทยออกแบบติดตั้งและบริหารงานระบบรถไฟฟ้าทั้งหมดแบบเบ็ดเสร็จ ระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง นับเป็นระบบขนส่งมวลชนสายรอง (Feeder Line) โครงการนำร่องที่ใช้ระบบรถล้อยางแบบไร้คนขับ (Automatic People Mover: APM) แบบเดียวกับที่ใช้ในสนามบินชั้นนำทั่วโลกเป็นขบวนแรกในประเทศไทย

ในช่วงปี 2561-2562 บริษัทฯ มีการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม และปิดกิจการในบริษัทร่วมและบริษัทย่อย เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยในปี 2561 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561 มีมติจำหน่ายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัทร่วม จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท พรีเซ้นต์ เทคโนโลยี จำกัด (“PZENT”) และบริษัท เอส อี เอ็ม เอส เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (“SEMS”) ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เนื่องจากธุรกิจของ PZENT และ SEMS ไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทฯ ต่อมาในปี 2562 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2562 มีมติเลิกกิจการและชำระบัญชีในบริษัทย่อยจำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอเอ็มอาร์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด และบริษัท เอเอ็มอาร์ อินโนเวชั่น จำกัด และมีมติเลิกกิจการและชำระบัญชีในบริษัทร่วม จำนวน 1 บริษัท ได้แก่ บริษัท ดิจิตอล เนทีฟ จำกัด เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้การเลิกกิจการในบริษัทย่อยดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ แต่อย่างใด
สรุปลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญของบริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน)
- วันที่ 13 กันยายน 2542 จดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 1.0 ล้านบาท และเรียกชำระเต็มจำนวน มีสำนักงานใหญ่เช่าอยู่ที่อาคารสำนักงาน ปลาทองกะรัต ถนนรัชดาภิเษก จังหวัดกรุงเทพมหานคร เริ่มดำเนินธุรกิจด้านวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอทีโซลูชั่น (System Integrator: SI) ซึ่งโครงการแรกของบริษัทฯ คือ การวางระบบคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์คให้กับมหาวิทยาลัยสวนดุสิต
- ย้ายสำนักงานใหญ่มาเช่าอยู่ที่อาคารสำนักงาน อโยธยา ทาวเวอร์ ถนนรัชดาภิเษก จังหวัดกรุงเทพมหานคร
- ย้ายสำนักงานมาอยู่ถนนประชาชื่น เขตจตุจักร ซึ่งบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินพร้อมอาคาร เพื่อใช้เป็นสำนักงานแห่งใหม่ ตั้งอยู่เลขที่ 469 ซอยประวิทย์และเพื่อน ถนนประชาชื่น แขวงลาดยาว เขตจตุจักร จังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับการขยายกิจการ
- เริ่มมีการขยายฐานรายได้ไปยังกลุ่มงาน SI โซลูชั่นระบบคมนาคมขนส่ง (Transportation Solution: TS) โครงการแรกคือการออกแบบติดตั้งระบบโครงข่ายสื่อสารหลัก (Backbone Network) สำหรับโครงการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย
- ลงนามในสัญญาจ้างงานติดตั้งโครงข่ายระบบสื่อสารและระบบไฟฟ้าสำหรับโครงการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณให้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว จำนวนรวม 27 สถานี และเปลี่ยนชุดระบบอาณัติสัญญาณในรถไฟฟ้า 24 ขบวน
- ลงนามในสัญญาจ้างงานโครงการวางระบบโครงข่ายสื่อสารเคเบิ้ลใยแก้วสำหรับรถโดย สารด่วนพิเศษ BRT
- บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1.0 ล้านบาท เป็น 50.0 ล้านบาท และเรียกชำระเต็มจำนวน โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการ
- ลงนามในสัญญาจ้างงานโครงการวางระบบโครงข่ายระบบอาณัติสัญญาณให้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วง สถานีตลาดบางใหญ่-สถานีบางซื่อ
- ลงนามในสัญญาจ้างงานออกแบบ จัดหา และติดตั้งระบบ E&M โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายสายใต้ สถานีแบริ่ง-สถานีเคหะฯ จำนวนรวม 9 สถานี และสายเหนือ สถานีหมอชิต-สถานีคูคต จำนวนรวม 16 สถานี และระบบศูนย์ซ่อมบำรุง จำนวน 2 แห่ง ดำเนินงานภายใต้กิจการร่วมค้า
- ลงนามในสัญญาจ้างให้บริการซ่อมบำรุงรักษาระบบ Intelligent Transportation System (ITS) สำหรับการเดินรถด่วนพิเศษ BRT
- ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2008
- ลงนามในสัญญาจ้างงานโครงการรถไฟทางคู่ช่วง (ฉะเชิงเทรา-แก่งคอย-คลองสิบเก้า) จำนวน 7 สถานี ระยะทางรวมประมาณ 106 กิโลเมตร
- ลงนามสัญญาจ้างออกแบบติดตั้งงาน E&M แบบเบ็ดเสร็จ ให้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีกรุงธนบุรี – สถานีคลองสาน ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่บริษัทสัญชาติไทยออกแบบติดตั้งและบริหารงานระบบรถไฟฟ้าทั้งหมดแบบเบ็ดเสร็จ
- วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 บริษัทฯ ร่วมลงทุนในบริษัท รีเจียนนอล ทรานซิท โคเปอร์เรชั่น จำกัด (“RTC”) เพื่อพัฒนาธุรกิจให้บริการเดินรถขนส่งมวลชนสายรอง (Feeder Line) เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนสายหลัก โดยลงทุนถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 10.0 ทั้งนี้ ผู้ถือเงินลงทุนส่วนที่เหลือเป็นบุคคลที่ไม่ได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือบุคคลที่อาจมีความขัดแย้งกับบริษัทฯ คณะกรรมการบริษัท ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ
- เป็นบริษัทสัญชาติไทยบริษัทแรกที่นำเสนอระบบเส้นทางการเดินรถแบบปรับเปลี่ยนข้อความและภาพอัตโนมัติ (Digital Route Map System: DRMS) ซึ่งเป็นระบบที่บริษัทฯ ได้พัฒนาและออกแบบขึ้นเอง ในงานแสดงสินค้าด้านเทคโนโลยีการขนส่งทางรถไฟ InnoTrans ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน และในปัจจุบันได้มีการติดตั้งใช้งานจริงบนรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ BRT
- บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 50.0 ล้านบาท เป็น 100.0 ล้านบาท และเรียกชำระเต็มจำนวน โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการ
- จำหน่ายเงินลงทุนเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561 มีมติจำหน่ายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัทร่วม จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ PZENT และ SEMS ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม
- ต่อมาประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2562 มีมติเลิกกิจการและชำระบัญชีในบริษัทย่อยจำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอเอ็มอาร์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด และบริษัท เอเอ็มอาร์ อินโนเวชั่น จำกัด และมีมติเลิกกิจการและชำระบัญชีในบริษัทร่วม จำนวน 1 บริษัท ได้แก่ บริษัท ดิจิตอล เนทีฟ จำกัด
- ลงนามสัญญาจ้างติดตั้งงานระบบ SCADA System พร้อมติดตั้ง Power Rail system ระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว แบบวิ่งคร่อมคานทางวิ่ง (Straddle-Beam Monorail) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู
- ลงนามสัญญาจ้างออกแบบติดตั้งงานระบบ SCADA System พร้อมติดตั้ง Power Rail system ระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว แบบวิ่งคร่อมคานทางวิ่ง (Straddle-Beam Monorail) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง
- วันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2563 ได้มีมติอนุมัติเรื่องสำคัญ ดังนี้
- อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมของบริษัทฯ จำนวน 140.0 ล้านบาท
- เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 125.0 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 100.0 ล้านบาท เป็น ทุนจดทะเบียน 225.0 ล้านบาท และเรียกชำระเต็มจำนวน โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม
- ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ขยายสำนักงานส่วนงานสนับสนุนธุรกิจ ได้แก่ ฝ่ายบัญชีและการเงิน ฝ่ายเลขานุการ ฝ่ายวิศวกรรม ITS ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ฝ่ายกฎหมายและบริหารสัญญา มาอยู่ที่อาคารสำนักงานเดอะไนน์ ทาวเวอร์ส พระราม 9 เพื่อรองรับการขยายกิจการ
- วันที่ 15 มีนาคม 2564 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 ได้มีมติอนุมัติเรื่องสำคัญ ดังนี้
- แปรสภาพจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเปลี่ยนแปลงชื่อเป็นบริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน)
- เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จาก 100.0 บาทต่อหุ้น เป็น 0.50 บาทต่อหุ้น
- เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 75.0 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 225.0 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียน 300.0 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 150,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น และอนุมัติให้มีการจัดสรรหุ้นเพื่อเสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) เป็นจำนวนไม่เกิน 150,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น
- ให้นำหุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 บริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก (First Trading Day) ด้วยราคา IPO 6.90 บาท
- เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 บริษัทฯ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ “การผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านระบบราง การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมด้านระบ บราง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมระบบราง” เพื่อส่งเสริม ความร่วมมือระหว่าง 7 ภาคีเครือข่ายรวม 72 หน่วย งาน ในการสนับสนุนส่งเสริมและใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบรางในด้านต่าง ๆ
- บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกจาก FTSE SET Indexเข้าคํานวณในกลุ่ม Micro Cap ซึ่งเป็นดัชนีหลักทรัพย์ระดับนานาชาติ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564
- เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2560 ทีมวิจัยและพัฒนา เปิดตัวสลับแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ในโครงการนําร่องการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้าง สาธารณะในพื้นที่อําเภอบางกรวยซึ่งดําเนินการโดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิต สนับสนุนนโยบาย EGAT Carbon Neutrality เพื่อลดปัญหาการปล่อยมลพิษทางอากาศ และฝุ่น PM 2.5 จากภาคขนส่ง